ประวัติของ kobe bryant
โคบี ไบรอันต์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โคบี้ ไบรอันต์ (อังกฤษ: Kobe Bryant) เป็นนักบาสเกตบอล ตำแหน่งชู๊ตติ้งการ์ด สังกัดทีม
ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2521 ณ เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
เนื้อหา
[ซ่อน]
วัยเด็กและครอบครัว
โคบี้เป็นลูกชายคนสุดท้องของ โจ
"เยลลีบีน" ไบรอันต์ อดีตนักบาสเกตบอลเอ็นบีเอ ทีมฟิลาเดลเฟีย
เซเว่นตีซิกเซอร์ส ส่วนมารดาชื่อ พาเมล่า ค็อกซ์ ไบรอันต์ พ่อแม่ตั้งชื่อ โคบี้
หรือ โกเบ (Kobe) ตามชื่อ เนื้อโกเบ
เนื้อชื่อดังของประเทศญี่ปุ่นซึ่งพวกเขาเห็นในเมนูร้านอาหารแห่งหนึ่ง
โคบี้มีพี่สาวสองคนชื่อ ชาเรีย และ ชาญ่า
เมื่อโคบี้อายุได้ 6 ขวบ
คุณพ่อของเขาออกจากสมาคมบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ และพาครอบครัวไปย้ายไปอยู่ที่ประเทศประเทศอิตาลี เพื่อเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพที่นั่น
โคบี้ต้องปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ๆ
และฝึกหัดพูดภาษาอิตาลีและภาษาสเปนจนคล่องแคล่ว ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี
โคบี้จะเดินทางกลับมายังสหรัฐอเมริกา เพื่อเข้าร่วมแข่งขันบาสเก็ตบอลลีกฤดูร้อน (Summer League) โคบี้เริ่มเล่นบาสเก็ตบอลตั้งแต่อายุ 3 ขวบ
และช่วงวัยเด็กเขายังเล่นซ็อกเกอร์(ฟุตบอล)ด้วย ทีมโปรดของเขาคือทีม เอซี มิลาน (AC Milan) เขาเคยบอกว่า ถ้าเขายังอยู่ในอิตาลี
เขาอาจจะลองพยายามเป็นนักฟุตบอลอาชีพ นักฟุตบอลที่เขาชื่นชอบ คือ แฟรงค์ รายการ์ด
และ โรนัลดิญโญ่
คุณพ่อของโคบี้
เกษียณจากการเล่นบาสเก็ตบอลในอิตาลีเมื่อปีพ.ศ. 2534
และครอบครัวเขาได้ย้ายกลับสหรั
มัธยมปลาย
ไบรอันต์เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับประเทศเมื่อเขาสร้างผลงานกับทีมบาสเก็ตบอลของ Lower Merion
High School ในเมืองฟิลาเดเฟีย ทีมเป็นที่รู้จักในชื่อทีม Aces ในปีที่สองที่เขาเล่นนั้น
พ่อของเขาได้มาเป็นโค้ชให้กับทีมด้วย หลังจากนั้น ในค่ายบาสเก็ตบอล Adidas ABCD camp โคบี้แสดงฝีมือจนได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าประจำปี 1995
สำหรับผู้เล่นปีสุดท้าย ในการแข่งขันนั้นโคบี้ได้เล่นทีมเดียวกับ ลามารื โอดอม
ซึ่งปัจจุบันคือเพื่อนร่วมทีม LA Lakers ใน NBA ด้วย
ระหว่างที่เขาเล่นบาสเก็ตบอลมัธยมปลายอยู่นั้น John Lucas โค้ชของทีม Philadephia 76ers ใน NBA ได้เรียกตัวเขาไปฝึกซ้อมด้วย
และให้โอกาสเขาได้เล่นตัวต่อตัวกับดาราชื่อดังของทีมในขณะนั้น คือ Jerry
Stackhouse ในปีสุดท้ายของมัธยม โคบี้พาทีมคว้าแชมป์ของรัฐได้สำเร็จ
ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 53 ปีของทีม ด้วยผลงานเฉลี่ยต่อเกม 30.8 คะแนน 12 รีบาวน์
6.5 แอสซิสต์ 4 สตีล 3.8 บล็อก นำทีม Aces ชนะ 31 แพ้ 3
โคบี้จบการเล่นบาสเก็ตบอลระดับมัธยมด้วยการเป็นผู้เล่นที่ทำคะแนนรวมสูงสุดตลอดกาลของ
เพนซิลเวเนียตอนใต้ คือ 2,883 คะแนน แซงหน้านักบาสเก็ตบอลระดับตำนานทั้ง Wilt
Chamberlain และ Lionel Simmons เขายังได้รับรางวัลมากมายจากผลงานการเล่นปีสุดท้ายของเขา
ไม่ว่าจะเป็นรางวัล Naismith
High School Player of the Year, Gatorade Men's National Basketball Player of the Year, McDonald's
All-American และ SA
Today All-USA First Team player ในปี 1996
โคบี้สร้างความฮือฮาโดยการพา Brandy Norwood นักร้อง R&B สาวชื่อดังไปที่งานเต้นรำเมื่อจบการศึกษา
แต่เขาทั้งสองก็เป็นเพียงแค่เพื่อนกันเท่านั้น ถึงแม้ว่าโคบี้จะสอบวัดระดับ SAT ได้ถึง 1,080 คะแนน
และมีทุนการศึกษาสำหรับนักกีฬาจากหลายต่อหลายมหาวิทยาลัยรออยู่ แต่ไบรอันต์วัย 17
ปี ก็ตัดสินใจที่จะเข้าสู่วงการบาสเก็ตบอลอาชีพ NBA แทน
ทำให้เขาเป็นถูกรุมล้อมไปด้วยสื่อมากมายที่ยังไม่คุ้นเคยกับเด็กที่จบมัธยมแล้วเลือกจะเข้าเป็นนักบาสเก็ตบอล
NBA โดยไม่เรียนมหาวิทยาลัยก่อน โคบี้เคยกล่าวว่า
ถ้าหากเขาเลือกเรียนมหาวิทยาลัย เขาจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยดุ๊ก (Duke University)
บาสเกตบอลอาชีพ NBA
NBA Draft ปี 1996
ผู้เล่นตำแหน่งการ์ดคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกเข้าสู่เอ็นบีเอ
ตั้งแต่จบมัธยมปลาย ไบรอันต์ได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 13 จากการดร๊าฟรอบแรกโดยทีม ชาร์ล็อตต์ ออร์เน็ตส์ ในปี 1996 อย่างไรก็ตาม ตัวแทนของไบรอันต์ในขณะนั้นเห็นว่าโคบี้ไม่ควรจะเล่นให้กับทีมชาร์ล็อตต์
และชาร์ล็อตต์เองก็คิดที่จะแลกเปลี่ยนตัวผู้เล่นกับทีมเลเกอร์สอยู่แล้ว
ก่อนหน้าการดร้าฟตัวผู้เล่นนั้น โคบี้มีโอกาสได้ร่วมฝึกซ้อมกับทีมในลอสแอนเจลิส
ซึ่งเขาได้ต่อกรในสนามกับอดีตผู้เล่นของเลเกอร์ส คือ แลร์รี่ ดรู และ ไมเคิล
คูเปอร์ จนสะดุดตา เจอร์รี่ เวสต์ ผู้จัดการทีมในขณะนั้น ในที่สุดเมื่อวันที่ 1
กรกฎาคม ปี 1996 West ตัดสินใจแลกตัวผู้เล่นเซ็นเตอร์ตัวจริงของทีมเลเกอร์ส คือ
วเลด ดีวาซ ไปให้ทีมออร์เน็ตส์ เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการดร้าฟตัวไบรอันท์
และเนื่องจากโคบี้เพิ่งอายุได้ 17 ปี พ่อแม่ของเขาต้องร่วมเซ็นสัญญากับเลเกอร์ส
จนกระทั่งโคบี้สามารถเซ็นสัญญาเองได้เมื่ออายุครบ 18 ปี ก่อนจะเปิดฤดูกาล
สามฤดูกาลแรก (ปี 1996-99)
ช่วงปีแรกนั้น
ไบรอันท์ต้องเป็นตัวสำรองให้กับการ์ดรุ่นพี่อย่าง Eddie Jones และ Nick Van Exel ในขณะนั้น โคบี้คือผู้เล่นที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์(ปัจจุบันสถิตินี้โดนทำลายโดยเพื่อนร่วมทีมเลเกอร์ส
ชื่อ Andrew Bynum)
และยังเป็นผู้เล่นตัวจริงที่อายุน้อยที่สุดที่เคยมีมาด้วย
ในช่วงเริ่มต้นเขาอาจไม่ได้ลงเล่นมากนัก
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็มีโอกาสได้ลงเล่นมากขึ้น เขาจบฤดูกาลแรก (1996-97)
ด้วยเวลาลงสนามเฉลี่ย 15.5 นาทีต่อเกม
สร้างชื่อจนกลายเป็นจอมเหินเวลาและขวัญใจของแฟนๆด้วยการคว้าแชมป์ Slam Dunk
Contest ได้รับเลือกให้ติดทีมอันดับสองของ NBA All Rookies พร้อมกับเพื่อนร่วมทีม ชื่อ Travis Knight นาทีสุดท้ายของฤดูกาลนั้นของเขาจบลงด้วยหายนะ
เมื่อชู้ตบอลพลาดแบบไม่โดนห่วง (air ball) ถึง 3 ครั้ง ในช่วงเวลาสำคัญ คือ
ลูกแรกเขาชู้ตสุดท้ายที่จะทำให้ทีมชนะพลาด ก่อนจะหมดเวลาปกติ
ทำให้เกมต้องเข้าสู่ช่วงต่อเวลา และในช่วงท้ายของการต่อเวลายังยิงสามคะแนนพลาดอีก
2 ครั้ง ทำให้ทีมเลเกอร์สต้องตกรอบแรกใน Playoffs (ระบบแพ้คัดออก
เล่นแบบชนะ 4 ใน 7 เกม) ให้กับทีม Utah Jazz หลังการแข่งขัน ชาคีล
โอนีล(Shaquille
O'Neal) เพื่อนร่วมทีมในตอนนั้น
ให้ความเห็นว่า
"ไบรอันต์เป็นคนเดียวในตอนนั้นที่กล้าพอจะชู้ตลูกเหล่านั้น"
ในปีที่สองของการเล่น
โคบี้ได้โอกาสลงเล่นมากขึ้น
และเริ่มแสดงฝีมือให้เห็นว่าเขาเป็นการ์ดหนุ่มที่มีพรสวรรค์ เขาทำคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นกว่าปีแรกจาก
7.6 เป็น 15.4 แต้มต่อเกม เขาได้ลงเล่นมากขึ้นเมื่อเลเกอร์สใช้แผน
"ผู้เล่นตัวเล็ก" ทำให้โคบี้รับตำแหน่งปีกตัวเล็ก (Small Forward)
และได้ลงเล่นพร้อมกับการ์ดรุ่นพี่ที่เขาต้องเป็นตัวสำรองให้เป็นประจำ
แม้ว่าจะได้แค่อันดับรองและพลาดตำแหน่งผู้เล่นสำรองยอดเยี่ยม (NBA's Sixth Man of The Year)ไป แต่ด้วยความนิยมจากแฟนๆ
ทำให้เขาได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา และกลายเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้เป็นตัวจริงในเกมรวมดารา NBA All-Star ปีนั้น เพื่อนร่วมทีมของเขาคือ Shaquille O'Neal, Eddie Jones และ Nick Van Exel ก็ได้รับคะแนนเสียงจากแฟนเช่นกัน
ทำให้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1983 ที่มีผู้เล่นจากทีมเดียวกันถึง 4
คนได้ร่วมทีมเดียวกันในเกมรวมดารา คะแนนเฉลี่ย 15.4
คะแนนของโคบี้ยังเป็นคะแนนสูงสุดสำหรับผู้เล่นที่ไม่ได้เป็นตัวจริงของทีมในฤดูกาลปกติอีกด้วย
ในฤดูกาล 1998-99
ขึ้นมาเป็นการ์ดแนวหน้าของลีกอย่างรวดเร็ว เมื่อการ์ดตัวจริงทั้งสองคน คือ Nick Van Exel และ Eddie
Jones ถูกเทรดออกไป
โคบี้ลงเล่นเป็นตัวจริงทุกเกมตลอด 50 เกม ในปีที่ NBA มีปัญหา lockout ระหว่างฤดูกาลนั้น โคบี้ได้ต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 6 ปี
เป็นมูลค่า 70 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้เขาได้อยู่กับทีมเลเกอร์สไปจนถึงฤดูกาล
2003-04 แม้ว่าเขาเพิ่งจะเริ่มอาชีพการเล่นบาสเก็ตบอลได้ไม่นาน
แต่สื่อกีฬาต่างๆก็เริ่มเปรียบเทียบความสามารถของเขากับผู้เล่นระดับโลกอย่าง Michael Jordan และ Magic Johnson แล้ว อย่างไรก็ตาม ใน playoffs ปีนั้น เลเกอร์สก็โดน San Antonio
Spurs กวาดเรียบ 4 เกมรวดในเกมรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก (Western Conference semi-finals)
แชมป์ 3 สมัยซ้อน (ปี 2000-02)
ในไม่ช้าชะตาชีวิตของไบรอันท์ก็เปลี่ยนไปเมื่อ ฟิล
แจ็คสัน เข้ามารับหน้าที่โค้ชให้กับทีมเลเกอร์ส ในปี 1999
หลังจากพัฒนาตัวเองมาหลายปี โคบี้กลายมาเป็นผู้เล่นตำแหน่งการ์ดตัวทำคะแนน
(ชู้ตติง การ์ด) ชั้นแนวหน้า ได้รับเลือกให้ติดทีมรวมเอ็นบีเอ, ออล สตาร์ และทีมรับยอดเยี่ยม ปีนี้ ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส
กลายมาเป็นทีมเต็งที่จะได้แชมป์ ภายใต้การนำทีมของ โคบี้ ไบรอันท์ และ ชาคีล
โอนีล ที่ผสมผสานการเล่นของเซ็นเตอร์กับการ์ดได้อย่างยอดเยี่ยม
และด้วยแผนการบุกแบบสามเหลี่ยม (Triangle Offense) ซึ่ง ฟิล
แจ็คสัน เคยใช้พาทีมชิคาโก บูลส์ คว้าแชมป์ไปแล้วถึง 6 สมัย ก็ทำให้ทั้งสามคนพาทีม
เลเกอร์สได้แชมป์เอ็นบีเอ ถึง 3 ปีซ้อน ในปี 2000, 2001 และ 2002
โคบี้เริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000
ด้วยการพลาดการลงสนามถึง 6 สัปดาห์เมื่อเขาได้รับบาดเจ็บที่มือ
ในเกมอุ่นเครื่องก่อนเริ่มฤดูกาลที่แข่งกับทีมวอชิงตัน วิซาร์ดส
เมื่อเขากลับมาลงสนามได้ เขาลงเล่นมากกว่า 38 นาทีต่อเกม
และทำผลงานเฉลี่ยต่อเกมสูงขึ้น รวมถึงการเป็นผู้เล่นที่ทำ แอสซิสต์และสตีล
สูงสุดของทีมด้วย
คู่หูโอนีลกับไบรอันท์พร้อมด้วยเพื่อนร่วมทีมที่แข็งแกร่งพาทีมชนะถึง 67 เกม
เป็นสถิติการชนะสูงสุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ
โอนีลได้รับตำแหน่งผู้เล่นทรงคุณค่าในฤดูกาลปกติ และโคบี้ได้รับเลือกให้ติดทีมผู้เล่นยอดเยี่ยมอันดับสอง
(All-NBA Second Team) และ ทีมรับยอดเยี่ยม (All Defensive Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต(เป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้รับเลือกติดทีมรับยอดเยี่ยม)
ขณะที่ต้องรับบทพระรองของทีมในรอบเพลย์ออฟ ไบรอันต์ก็มีผลงานที่โดดเด่น
รวมถึงการทำ 25 คะแนน 11 รีบาวน์ 7 แอสซิสต์ และ 4 บล็อก ในเกม 7
ของรอบชิงชนะเลิศฝั่งตะวันตก ที่เลเกอร์ส เจอกับพอร์ตแลนด์ เทรล เบลเซอร์ส
เขายังเป็นคนส่งบอลทำ alley-oop
ให้กับโอนีลทำให้ทีมชนะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศด้วย
ในรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาต้องพบกับทีมอีนเดียนา เปเซอร์ส
ไบรอันต์ได้รับบาดเจ็บที่ข้อเท้าใชช่วงควอเตอร์ที่ 2 ของเกมที่ 2
ต้องออกจากการแข่งขัน และไม่ได้ลงเล่นในเกมที่ 3 เมื่อเขากลับมาลงเล่นในเกมที่ 4
ไบรอันต์ทำคะแนนไป 22 คะแนนในครึ่งหลัง เขาต้องขึ้นเป็นผู้นำทีมเมื่อ โอนีล ทำ
ฟาวล์เอ้าท์ ต้องออกจากการแข่งขัน ในช่วงท้ายของการต่อเวลา
โคบี้ชู้ตทำคะแนนสุดท้ายให้ทีมขึ้นนำ 120-118 และด้วยชัยชนะในเกมที่ 6
ทำให้เลเกอร์สได้กลับมาครองแชมป์อีกครั้งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1988
ถ้าดูตามสถิติแล้ว ในฤดูกาล 2000-01
โคบี้ทำผลงานได้แทบไม่ต่างกับฤดูกาลก่อนหน้า นอกจากทำคะแนนเฉลี่ยได้มากขึ้นถึง 6
คะแนนต่อเกม(28.5) เป็นอีกปีนึงที่เขาทำแอสซิสต์สูงสุดในทีม
ปีนี้ยังเป็นปีที่ความไม่ลงรอยกันระหว่างโอนีลกับไบรอันต์เริ่มที่จะเปิดเผยมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเลเกอร์สก็ยังชนะได้ถึง 56 เกม แม้จะน้อยกว่าปีที่แล้ว 11 เกม
และทำสถิติในรอบเพลย์ออฟด้วยการชนะ 15 แพ้ 1 ด้วยการกวาดพอร์ตแลนด์ เทรล เบลเซอร์ส, ซาคราเมนโต้ คิงส์ และ ซานอันโตนีโอ สเปอร์ส
ก่อนที่จะแพ้เกมแรกในรอบชิงชนะเลิศ กับ ฟิลาเดลเฟีย เซเว่นตีซิกเซอร์ส
ในช่วงต่อเวลา แล้วกลับมาชนะ 4 เกมรวดคว้าแชมป์สมัยที่ 2 ติดต่อกัน ไบรอันต์ได้ลงสนามมากกว่าเดิมในช่วงเพลย์ออฟและทำให้ผลงานเฉลี่ยของเขาเพิ่มขึ้นเป็น
29.4 คะแนน 7.3 รีบาวน์ 6.1 แอสซิสต์ต่อเกม และในช่วงเพลย์ออฟนั้นเอง แชคีล โอนีล
เพื่อนร่วมทีมประกาศว่า โคบี้คือผู้เล่นที่ดีที่สุดในเอ็นบีเอ
ไบรอันต์ได้รับเลือกให้ติดทีมยอดเยี่ยมอันดับสอง (All-NBA Second Team) และ ทีมรับยอดเยี่ยม (NBA All Defensive Team) เป็นปีที่สองติดต่อกัน และยังได้รับเลือกให้ติดทีมรวมดารา (NBA All-Star) เป็นผู้เล่นตัวจริง เป็นปีที่สามติดต่อกันด้วย (เว้นปี 1999
ที่ไม่มีการแข่งขัน All-Star)
ในฤดูกาล 2001-02 โคบี้ลงสนามในฤดูกาลปกติถึง
80 เกมเป็นครั้งแรกในอาชีพการเล่น เขายังคงทำผลงานเฉลี่ยต่อเกม 25.2 คะแนน 5.5
รีบาวน์ 5.5 แอสซิสต์ ซึ่งเป็นการทำแอสซิสต์สูงที่สุดในทีมอีกครั้งนึง
เขาสถิติที่ดีที่สุดในอาชีพการเล่นด้วยการชู้ตที่แม่นยำถึง 46.9%
ได้รับเลือกให้ติด ทีมรวมดารา และ ทีมรับยอดเยี่ยม อีกครั้ง และได้รับเลือกให้ติด
ทีมยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง (All-NBA
First Team) เป็นครั้งแรกในชีวิต เลเกอร์สชนะ 58
เกม เป็นอันดับสองของฝั่งตะวันตก รองจากคู่แข่งร่วมรัฐ คือ ซาคราเมนโต้ คิงส์
ถนนในรอบเพลย์ออฟไม่ได้โรยด้วยกลับกุหลาบสำหรับเลเกอร์สเหมือนปีที่ผ่านมา
แม้พวกเขาจะกวาด พอร์ตแลนด์ในรอบแรก เอาชนะ สเปอร์ส 4-1 เกม แต่พวกเขาเสียเปรียบ
ซาคราเมนโต้ เนื่องจากทำอันดับได้แกว่าตอนฤดูกาลปกติ และต้องกลับไปเล่นที่บ้านของ
ซาคราเมนโต้ ในเกมสุดท้าย เพราะการแข่งขันยื้ดเยื้อไปถึงเกมที่ 7
เป็นครั้งแรกที่เลเกอร์สต้องแข่งถึงเกมสุดท้ายแบบนี้ในรอบชิงชนะเลิศของฝั่งตะวันตก
นับตั้งแต่ปี 2000 อย่างไรก็ตาม
เลเกอร์สก็สามารถเอาชนะและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ในรอบชิงชนะเลิศ ไบรอันท์ ทำคะแนนเฉลี่ย 26.8 แต้ม ด้วยเปอร์เซนต์การชู้ต 51.4%
รีบาวน์ 5.8 ครั้ง และแอสซิสต์ 5.3 ครั้งต่อเกม รวมถึงทำคะแนนรวมเท่ากับ 1 ใน 4
ของคะแนนรวมของทีม ด้วยวัยเพียง 23 ปี
เขากลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ได้แชมป์เอ็นบีเอ 3 สมัย
การเล่นของเขาเป็นที่จดจำและยกย่องในการเล่นช่วงควอร์เตอร์ที่ 4 ของเกม
โดยเฉพาะในสองรอบสุดท้ายของเพลย์ออฟ
ทำให้เขามีชื่อในการเป็นผู้เล่นที่ทีมพึ่งพาได้ในช่วงเวลาสำคัญ
ไปไม่ถึงฝั่งฝัน (ปี 2002-2004)
ในฤดูกาล 2002-2003
ไบรอันท์ทำคะแนนเฉลี่ย 30 แต้มต่อเกม และจารึกประวัติศาสตร์ด้วยการทำคะแนน 40
แต้มหรือมากกว่า ติดต่อกันถึง 9 เกม ทำให้เดือนกุมภาพันธ์ เขาทำคะแนนเฉลี่ย 40.6
แต้มต่อเกม และในฤดูกาลเดียวกันนี้เอง เขายังทำ 6.9 รีบาวน์ 5.9 แอสซิสต์ และ 2.2
สตีลต่อเกมอีกด้วย โคบี้ได้รับโหวตให้ติดทีม All-NBA และ All-Defensive 1st
Team อีกครั้ง และมาเป็นอันดับ 3
ในการโหวตให้รับรางวัล MVP
หลังจากทำสถิติ ชนะ 50 แพ้ 32 ครั้ง
ในฤดูกาลปกติ เลเกอร์ส กลับพ่ายแพ้ให้กับ ซานอันโตนิโอ สเปอร์ส
ในรอบรองชนะเลิศฝั่งตะวันตก ก่อนที่สเปอร์จะเข้าไปคว้าแชมป์เอ็นบีเอได้ใน 6 เกม
ฤดูกาลถัดมา 2003-2004 เลเกอร์ส
ได้ตัวผู้เล่นระดับออลสตาร์ อย่างคาร์ล มาโลน และแกรี่ เพย์ตัน
มาร่วมทีมเพื่อจะมุ่งสู่การคว้าแชมป์เอ็นบีเออีกครั้ง ก่อนฤดูกาลแข่งขันจะเริ่มต้น
โคบี้ ไบรอันท์ ถูกจับกุมข้อหาล่วงลัเมิดทางเพศ
ทำให้เขาพลาดการลงสนามบางเกมเนื่องจากต้องไปปรากฏตัวที่ศาล
หรือบางครั้งต้องไปขึ้นศาลก่อนแล้วจึงเดินทางตามมาที่สนามแข่งขันในวันเดียวกัน
ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลปกติ โคบี้ชู้ตลูกสุดท้ายก่อนหมดเวลาถึง 2 ครั้ง
ทำให้ทีมชนะเป็นผู้นำในโซนแปซิฟิก ช่วงสุดท้ายของควอเตอร์ที่ 4 ไบรอันท์ยิงสามแต้ม
ทำให้คะแนนเสมอกันและต้องต่อเวลา เกมสูสียืดเยื้อจนต้องต่อเวลาเป็นครั้งที่สอง
ก่อนที่ไบรอันท์จะยิงลูกสุดท้ายให้เลเกอร์สชนะไป 105-104 คะแนน
ทีมที่ประกอบไปด้วยผู้เล่นตัวจริงซึ่งน่าจะได้เข้าสู่หอเกียรติยศในอนาคตทั้ง 4
คนอย่าง โอนีล, มาโลน,
เพย์ตัน และไบรอันท์
นำพาทีมให้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง แต่ทีม Detroit Pistons ก็ดับฝันของพวกเขาใน 5 เกม ในรอบเพลย์ออฟนั้น
โคบี้เฉลี่ยต่อเกม 22.6 คะแนน กับ 4.4 แอสซิสต์ และชู้ตเพียง 35.1%
เมื่อฤดูกาลสิ้นสุดลง ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของทีมก็เกิดขึ้นเมื่อ โค้ชฟิล
แจ็คสันไม่ได้ต่อสัญญาและรูดี้ ทอมจาโนวิข มารับช่วงเป็นโค้ชต่อ ผู้เล่นหลักอย่าง
แชคีล โอนีล โดนเทรดไปอยู่ ไมอามี่ ฮีต แลกกับ ลามาร์ โอดอม, คารอน บัตเลอร์ และ ไบรอัน แกรนต์
ส่วนโคบี้ก็ปฏิเสธข้อเสนอของ ลอส แอนเจลิส คลิปเปอร์ส และจรดปากกาเซ็นสัญญา 7 ปี
กับเลเกอร์ส
ความผิดหวังในรอบเพลย์ออฟ (ปี
2004-2007)
ไบรอันท์ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงฤดูกาล
2005-06 ด้วยชื่อเสียงที่ย่ำแย่จากสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในปีก่อน
เรื่องเสียหายเรื่องหนึ่งก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์ของ อดีตโค้ช ฟิล แจ็กสัน
ที่เขียนไว้ในหนังสือ The
Last Season: A Team in Search of its Soul ซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ต่างๆในฤดูกาล 2003-004 ในหนังสือนั้น
แจ็กสัน กล่าวถึงโคบี้ว่า เป็นคนที่ "ไม่สามารถที่จะโค้ช
(สั่งสอนแนะนำ)ได้"
ฤดูกาลผ่านไปได้แค่ครึ่งทาง รูดี้
ทอมจาโนวิช ก็ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าโค้ชของเลเกอร์สกะทันหันด้วยปัญหาสุขภาพ
ทำให้ผู้ช่วยโค้ช แฟรงก์ แฮมเบล็น ต้องมารับหน้าที่แทน
แม้ว่าโคบี้จะทำคะแนนเฉลี่ยต่อเกมสูงสุดเป็นอันดับสองของลีก แต่เลเกอร์สก็ล้มลุกคลุกคลานและไม่สามารถเข้ารอบเพลย์ออฟได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่าทศวรรษ
ทำให้โคบี้โดนลดระดับโดยรวมลง ไม่ได้รับเลือกให้ติดทีมรับยอดเยี่ยม
ถูกลดไปอยู่ในทีม All-NBA อันดับสาม
ในระหว่างฤดูกาลนั้นไบรอันต์ยังไปมีเรื่องมีราวกับ เรย์ อัลเลน และ คาร์ล มาโลน
ด้วย
ฤดูกาล 2005-06
เรียกได้ว่าเป็นทางแยกสำคัญในอาชีพนักบาสเก็ตบอลของไบรอันต์ เมื่อ ฟิล แจ็กสัน
กลับเข้ามาคุมทีมอีกครั้ง ไบรอันต์เห็นพ้องกับทีมที่นำโค้ชกลับมา
และทั้งสองก็ทำงานด้วยกันได้อย่างดี
ช่วยกันพาทีมกลับเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้อีกครั้ง การทำคะแนนของไบรอันต์พุ่งขึ้นสูงสุดในชีวิตการเล่นอาชีพ
วันที่ 20 ธันวาคม 2005 เขาทำคะแนนได้ 62 คะแนน ในสามควอเตอร์ ที่เจอกับ ดัลลัส
มาเวอริกส์ เมื่อเข้าสู่ควอเตอร์ที่สี่
ไบรอันต์ก็ทำคะแนนมากกว่าทีมมาเวอริกส์ทั้งทีมไปแล้วด้วยคะแนน 62-61
เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่มีผู้เล่นทำแบบนี้ได้ในเวลาแค่ สามควอเตอร์
นับตั้งแต่ปรับเวลา Shot
clock มาเหลือ 24 วินาที
ต่อมาเมื่อเลเกอร์สพบกับทีม ไมอามี่ ฮี9 ในวันที่ 16 มกราคม 2006 ไบรอันต์ กับ
ชาคีล โอนีล ก็กลายเป็นหัวข้อข่าวดังเมื่อทั้งสองจับมือและกอดกันก่อนเริ่มเกม
นับเป็นการสิ้นสุดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองที่ยาวนานมาตั้งแต่ โอนีล
ออกจากลอสแอนเจลิสไป หนึ่งเดือนต่อมาในเกม All-Star 2006
ทั้งสองก็ยังพูดคุยหัวเราะกันหลายต่อหลายครั้ง
วันที่ 22 มกราคม 2006
ไบรอันต์ทำคะแนน 81 แต้ม ในเกมที่เอสชนะ โตรอนโต้ แร็ปเตอร์ส ไปได้ 122-104
นอกจากจะเป็นการทำลายสถิติสูงสุดของทีม ที่ เอลกิน เบย์เลอร์ เคยทำไว้ 71
คะแนนแล้ว ยังเป็นการทำคะแนนสูงสุดอันดับสองในประวัติศาสตร์เอ็นบีเอ
เป็นรองเพียงแค่ วิล9N แชมเบอร์เลน ที่ทำไว้ 100 แต้มเมื่อปี 1962 เท่านั้น
ในเดือนเดียวกันนั้นเอง โคบี้ยังกลายเป็นผู้เล่นคนแรกนับแต่ปี 1964 ที่ทำคะแนน 45
แต้มหรือมากกว่า 4 เกมติดต่อกัน มีเพียงแชมเบอร์เลน
และเบย์เลอร์เท่านั้นที่เคยทำแบบนี้ได้ สถิติในเดือนมกราคมของไบรอันท์
ทำคะแนนเฉลี่ย 43.4 แต้มต่อเกม
สูงสุดเป็นอันดับแปดในประวัติศาสตร์การทำคะแนนเฉลี่ยในเดือนเดียวของเอ็นบีเอ
และเป็นคนเดียวที่ทำได้นอกจาก แชมเบอร์เลน เมื่อจบฤดูกาล 2005-06
ไบรอันต์จารึกประวัติศาสตร์ของทีมในหนึ่งฤดูกาล ในการทำคะแนนมากกว่า 40 แต้ม (27
เกม)และทำคะแนนรวมสูงสุด 2,832 แต้ม
เขาได้รางวัลผู้เล่นที่ทำคะแนนสูงสุดในลีกเป็นครั้งแรก (35.4 แต้มต่อเกม)
จากการโหวตผู้เล่นทรงคุณค่าแห่งปี 2006 เขาได้คะแนนรวมเป็นอันดับสี่
แต่ได้รับการโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งถึง 22 เสียง เป็นรองเพียงแค่ผู้ชนะคือ สตีฟ
แนช ทีม ลอสแอนเจลิส เลเกอร์ส ทำสถิติ ชนะ 45 แพ้ 37 ชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนหน้า 11
เกม และผู้เล่นทั้งทีมดูจะเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ต่อมาในฤดูกาลนั้น มีข่าวว่า
ไบรอันต์ จะเปลี่ยนหมายเลขเสื้อ จากหมายเลข 8 เป็นหมายเลข 24 เมื่อเริ่มต้นฤดูกาล
2006-07 หมายเลขเสื้อของไบรอันต์ที่เขาใส่เป็นครั้งแรกตอนเรียนมัธยมปลายคือ เบอร์
24 ก่อนจะเปลี่ยนไปใส่เบอร์ 33 หลังจากฤดูกาลจบลง
โคบี้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวทีเอ็นที ว่าเขาอยากใส่เบอร์ 24
มาตั้งแต่ตอนเริ่มเล่นในเอ็นบีเอแล้ว แต่ตอนนั้นมีคนใช้เบอร์นี้อยู่ และจะใช้เบอร์
33 ก็ไม่ได้ เพราะเบอร์นี้ถูกยกเลิกการใช้เพื่อเป็นเกียรติกับ คารีม
อับดุล-จับบาร์ ตัวโคบี้เองใส่หมายเลข 143 ตอนอยู่ที่ค่ายอาดิดาส ABC ก็เลยเอาเลขมารวมกัน ได้เป็นเลข 8 ในรอบแรกของเพลย์ออฟ
เลเกอร์เล่นได้ดีและขึ้นนำทีม ฟินิกส์ ซันส์ 3-1 เกม
เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในเกมสี่
เมื่อโคบี้ชู้ตลูกสุดท้ายในช่วงเวลาปกติทำให้เกมต้องตัดสินในช่วงต่อเวลา
และยังชู้ตลูกสุดท้ายทำให้ทีมชนะในช่วงต่อเวลาอีกด้วย ในเกมที่ 6 ที่เหลือเวลาอีกเพียงหกวินาที
พวกเขาก็จะปราบทีมซันส์ได้แล้ว แต่พวกเขากลับพลาดท่า แพ้ไปในช่วงต่อเวลา 126-118
และแม้ว่า โคบี้จะทำคะแนนเฉลี่ย 27.9 แต้มต่อเกมในการสู้กับฟินิกส์ ซันส์
เลเกอร์สก็พังไม่เป็นท่าและพ่ายตกรอบเพลย์ออฟใน 7 เกม ช่วงปิดฤดูกาล 2006
ไบรอันต์ต้องผ่าตัดเข่า ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมทีมชาติเพื่อแข่งบาสเก็ตบอลชิงแชมป์โลก
ประจำปี 2006 ได้
ในช่วงฤดูกาล 2006-07
ไบรอันต์ได้รับเลือกให้เล่นในเกม All-Star เป็นครั้งที่ 9 และในวันที่ 18
กุมภาพันธ์ เขาทำ 31 คะแนน 6 แอสซิสต์ และ 6 สตีล
ทำให้เขาได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของเกมออล สตาร์เป็นครั้งที่สอง
ตลอดฤดูกาลนั้นไบรอันต์มีส่วนในเหตุการณ์ในสนามหลายครั้ง วันที่ 28 มกราคม
ขณะที่กระโดดชู้ตลูกสำคัญที่อาจทำให้ทีมชนะ
เขาพยายามจะประชิดตัวเพื่อเรียกฟาวล์จาก มานู จิโนบิลี่ การ์ดของ ซาน อันโตนิโอ
สเปอร์ส แต่กลับเหวี่ยงศอกใส่หน้าของ จิโนบิลี่
ซึ่งต่อมาทางเอ็นบีเอได้ตรวจสอบจากภาพและตัดสินห้ามไบรอันต์ลงเล่นในเกมต่อมา
ด้วยเหตุผลว่า โคบี้ "เคลื่อนไหวแบบผิดธรรมชาติ" คือ
จงใจเหวี่ยงศอกไปด้านหลัง หลังจากนั้น ในวันที่ 6 มีนาคม ดูเหมือนว่า โคบี้
จะทำแบบเดิมอีก คราวนี้เป็นการเหวี่ยงแขนใส่ มาร์โก้ ยาริก การ์ดของ มินเนโซต้า
ทิมเบอร์วูลฟ์ส วันที่ 7 มีนาคม เอ็นบีเอจึงห้ามไบรอันต์ลงเล่นอีกหนึ่งเกม
เมื่อกลับมาลงเล่นในวันที่ 9 มีนาคม เขาศอกใส่หน้า ไคล์ คอร์เวอร์ แต่ครั้งนี้
เอ็นบีเอพิจารณาว่า เป็นการ ฟาวล์รุนแรง แบบที่ 1
วันที่ 17 มีนาคม โคบี้ทำคะแนนสูงสุดในฤดูกาล
คือ 65 แต้ม ในเกมที่เลเกอร์สเปิดบ้านรับ พอร์ตแลนด์ เทรล เบลเซอร์
ช่วยให้ทีมชนะหลังจากแพ้รวดมา 7 เกม เป็นการทำคะแนนสูงสุดอันดับสองในชีวิตการเล่น
11 ปี เกมถัดมาไบรอันท์ทำ 50 คะแนน เมื่อเจอกับ มินเนโซต้า ทิมเบอร์วูลฟ์ส และ ทำ
60 คะแนนในบ้านของ เมมฟิส กริซลีย์ กลายเป็นผู้เล่นคนที่สองของเลเกอร์สที่ทำ 50
คะแนนหรือมากกว่าติดต่อกันสามเกม ไม่เคยมีใครทำมาก่อนหลังจากที่ ไมเคิล จอร์แดน
ทำไว้เมื่อปี 1984
ปิดฉาก 20 ปี (ปี 2016)[แก้]
หลังจากฟื้นฟูตัวเองจากอาการบาดเจ็บเพื่อกลับมาเล่นในฤดูกาล
2015-16 ซึ่งเป็นฤดูกาลที่ 20 ทำให้โคบี้ผ่านสถิติของจอห์น สต๊อกตัน ที่ 19 ฤดูกาล
สำหรับผู้เล่นที่ลงเล่นให้กับหนึ่งทีมด้วยจำนวนฤดูกาลที่มากที่สุด และในวันที่ 29
พฤษจิกายน 2015
โคบี้ได้ประกาศว่าจะเลิกเล่นบาสเกตบอลอาชีพโดยได้เขียนจดหมายบอกกล่าวต่อสาธารณะรวมถึงจัดพิมพ์แจกให้กับแฟน
ๆ ที่เข้าชมการแข่งขันในเกมพบกับ อินเดียน่า เปเซอร์ส
และเพื่อเป็นเกียรติแก่ตัวเขาเองทีมในเอ็นบีเอแต่ละทีมได้ทำวิดีโอพรีเซนต์เพื่อเป็นเกียรติให้กับโคบี้และเปิดในช่วงก่อนแข่งในการเล่มเกมเยือนพบคู่แข่งแต่ละทีมเป็นครั้งสุดท้าย
รวมถึงการได้รับคะแนนโหวตจากแฟน ๆ เป็นอันดับ 1 ถึง 1.9 ล้านโหวต
ให้ลงเล่นเล่นเกมออล สตาร์ ในปี 2016 เป็นครั้งสุดท้ายแซงหน้าสตีเฟน เคอร์รี่
อันดับ 2 ที่ 1.6 ล้านโหวต และจบเกมด้วย 10 คะแนน 6 รีบาวด์ และ 7 แอสซิสต์
ท้ายที่สุด ในวันที่ 13 เมษายน 2016
โคบี้ลงเล่นเกมสุดท้ายในอาชีพของเขาและเป็นเกมสุดท้ายต่อหน้าแฟน ๆ ของทีมในสนามเหย้าสเตเปิล
เซ็นเตอร์ โดยก่อนเกมได้มีการพูดยกย่องถึงตัวเขาเองโดย ตำนานของทีม เออร์วิน
"เมจิก" จอห์นสัน
และวิดีโอพรีเซนต์เพื่อขอบคุณและอวยพรโคบี้ทั้งจากอดีตเพื่อนร่วมทีมอย่างชาคีล
โอนีล และพาว กาซอล ตัวแทนผู้เล่นจากทีมอื่นอย่างสตีเฟน เคอร์รี่ จากโกลเดน สเตต
วอร์ริเออร์ส ดเวย์น เวด จากไมอามี ฮีต เลบอรน เจมส์ จากคลีฟแลนด์ คาวาเลียร์ส
และอดีตโค้ชฟิล แจ็กสัน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีความพิเศษอีกคือ
ได้มีการนำพื้นไม้พิเศษที่สกรีนหมายเลข 8 และ 24
มาใช้เป็นกรณีพิเศษรวมถึงยังมีการประกาศชื่อของโคบี้ทุกครั้งที่ทำแต้มได้
โคบี้ถูกเปลี่ยนตัวออกในควอเตอร์ที่สี่ขณะเหลือเวลาอยู่ 4.1 วินาที ด้วย 60 คะแนน
4 รีบาวด์ 4 แอสซิสต์ 1 สตีล และ 1 บล็อก
ปิดฉากการเล่นบาสเกตบอลอาชีพเป็นระยะเวลาถึง 20 ปี นอกจากนี้ในวันที่ 24 สิงหาคม
2016 ทางการเมืองลอส แอนเจลิส ได้ประกาศให้วันดังกล่าวเป็น "วันโคบี้
ไบรอันต์" (Kobe
Bryant Day) โดยมีที่มาจากเสื้อหมายเลข 8
ซึ่งแทนด้วยเดือนสิงหาคม และหมายเลข 24
ซึ่งแทนด้วยวันที่เพื่อเป็นการยกย่องในสิ่งที่โคบี้ได้ทำให้กับเมือง
อันดับ[แก้]
ตัวเลขข้างล่างนี้เป็นการนับรวมเฉพาะ
จำนวนคะแนน รีบาวด์ แอสซิสต์ สตีล บล็อก การชู้ต 3 คะแนน ฤดูกาล และเกมที่ลงเล่นในเอ็นบีเอและทีมทั้งในฤดูกาลปกติและรอบเพลย์-ออฟส์
เอ็นบีเอ[แก้]
33,643 คะแนน อันดับ 3 ตลอดกาล
รีบาวด์ (ไม่ติดอันดับ)
6,306 แอสซิสต์ อันดับ 29 ตลอดกาล
1,944 สตีล อันดับ 14 ตลอดกาล
บล็อก (ไม่ติดอันดับ)
3 คะแนนลง 1,827 ครั้ง อันดับ 11 ตลอดกาล
20 ฤดูกาล อันดับ 4 ร่วม ตลอดกาล
ลงเล่น 1,346 เกม อันดับ 11 ตลอดกาล
เอ็นบีเอ เพลย์-ออฟส์[แก้]
5,640 คะแนน อันดับ 3 ตลอดกาล
1,119 รีบาวด์ อันดับ 36 ตลอดกาล
1,040 แอสซิสต์ อันดับ 9 ตลอดกาล
310 สตีล อันดับ 6 ตลอดกาล
114 บล็อก (ไม่ติดอันดับ)
3 คะแนนลง 292 ครั้ง อันดับ 4
ตลอดกาล
เข้าไปเล่นในรอบเพลย์-ออฟส์ 15
ครั้ง อันดับ 15 ร่วม ตลอดกาล
ลงเล่น 220 เกม อันดับ 5 ตลอดกาล
ทีม[แก้]
33,643 คะแนน อันดับ 1 ตลอดกาล
7,047 รีบาวด์ อันดับ 3 ตลอดกาล
6,306 แอสซิสต์ อันดับ 2 ตลอดกาล
1,944 สตีล อันดับ 1 ตลอดกาล
640 บล็อก อันดับ 5 ตลอดกาล
3 คะแนนลง 1,827 ครั้ง อันดับ 1 ตลอดกาล
20 ฤดูกาล อันดับ 1 ตลอดกาล
ลงเล่น 1,346 เกม อันดับ 1 ตลอดกาล
ทีมในรอบเพลย์-ออฟส์[แก้]
5,640 คะแนน อันดับ 1 ตลอดกาล
1,119 รีบาวด์ อันดับ 6 ตลอดกาล
1,040 แอสซิสต์ อันดับ 2 ตลอดกาล
310 สตีล อันดับ 2 ตลอดกาล
144 บล็อก อันดับ 4 ตลอดกาล
3 คะแนนลง 292 ครั้ง อันดับ 1
ตลอดกาล
เข้าไปเล่นในรอบเพลย์-ออฟส์ 15
ครั้ง อันดับ 1 ตลอดกาล
ลงเล่น 220 เกม อันดับ 1 ตลอดกาล
ข้อมูล ณ วันที่ 20 มิถุนายน 2016
ผลงานในการแข่งขันบาสเกตบอล[แก้]
คว้าแชมป์เอ็นบีเอ สแลม ดังก์
คอนเทสต์
ติดทีมออล สตาร์ 18 ครั้ง 1998, 2000–2016
แชมป์เอ็นบีเอ 5 สมัย ปี 2000 2001
2002 2009 2010
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเกมรอบชิงชนะเลิศ
2009 2010
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า 2008
รางวัลผู้เล่นทำแต้มมากที่สุด 2
สมัย 2006 2007
ติดทีมรวมเอ็นบีเอ 11 สมัย ปี
2002-2004 2006-2013
ทีมรวมเอ็นบีเอชุดที่สอง 2 สมัย ปี
2000 2001
ทีมรวมเอ็นบีเอชุดที่สาม 2 สมัย ปี
1999 2005
ทีมรวมแนวรับ 9 สมัย ปี 2000
2003-2004 2006-2011
ทีมรวมแนวรับชุดที่สอง 2 สมัย ปี 2001
2002
ทีมรวมรุกกี้ชุดที่สอง 1997
รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเกมออล สตาร์
4 สมัย ปี 2002, 2007,
2009, 2011,
ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%B5_%E0%B9%84%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น